สินค้าหรู หรือ #ของมันต้องมี ใครว่าไม่มีประโยชน์?
สำหรับหลาย ๆ คน การลงทุนในสินค้าแบรนด์เนมที่มีราคาแพงนั้นอาจเป็นทางเลือกที่ไม่ฉลาด และมองว่า สินค้าหรูเป็นเพียงแค่ของใช้ พอเบื่อก็แค่ส่งต่อ แถมพอเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อไหร่ การหาแหล่งปล่อยสินค้าหรูให้กลับมาเป็นเงินสดเพื่อหมุนเวียนสภาพคล่องก็ทำได้ยากอีก
แต่ในความเป็นจริงแล้ว Easy Money ขอบอกได้เลยว่า ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจในยุคโควิด-19 แบบนี้ ตลาดสินค้าแบรนด์เนมและของหรูอื่น ๆ นั้นกลับสวนกระแสและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในขณะนี้ จะเห็นได้ว่า นักสะสมหลายคนเองก็ได้เริ่มทยอยปล่อย #ของมันต้องมี รุ่นลิมิเต็ดจนทำกำไรได้สูงกว่าการฝากประจำกับธนาคาร แถมในช่วงหลังนี้ ในตลาดของหรูเองก็เริ่มคึกคักและมีการแลกเปลี่ยนไอเท็มตัวใหม่ ๆ ให้เห็นกันมากขึ้นอีกด้วย
ซึ่งหากใครกำลังเล็งว่าจะเริ่มธุรกิจในตลาดสินค้าหรูล่ะก็ ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีในการเริ่มเก็บสะสมของเพื่อทำกำไรในอนาคตเลยทีเดียว ซึ่งสำหรับใครที่เพิ่งเข้าวงการ #ของมันต้องมี แต่ยังไม่รู้จะขายอะไร และจะเลือกสินค้าแบบไหน หรือจะโฟกัสสินค้าประเภทใด Easy Money มาพร้อมกับ 4 อันดับสินค้าหรูราคาพิเศษ ที่น่าลงทุนด้วย ที่สามารถหาได้จากของหลุดโรงรับจำนำ บอกเลยว่าจะซื้อมาใส่เองก็ดูไม่เอาท์ หรือจะเก็บลงทุนต่อก็คุ้มทุน ถ้าอยากรู้แล้วว่า 4 อันดับนี้จะเป็นอะไร มาดูไปพร้อมกันเลย!
หากกระเป๋าแบรนด์เนมเป็นของมันต้องมีสำหรับสาว ๆ นาฬิกาหรูก็เป็นไอเท็มที่ผู้ชายหลายคนขาดไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะนอกจากจะสะท้อนตัวตนของผู้สวมได้เป็นอย่างดีแล้ว นาฬิกาหรูแต่ละเรือนยังมีเรื่องราวของแบรนด์ ความทนทานในการใช้งาน ความลิมิเต็ดในการผลิต รวมถึงความพิเศษของนวัตกรรม ทำให้ราคาซื้อและขายนั้นแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นของมือหนึ่ง หรือสินค้ามือสองหลุดจำนำ คนจำนวนไม่น้อยก็ยังเลือกที่จะลงทุนกับนาฬิกาแบรนด์ดัง
โดยทั่วไปแล้ว ราคาขายของนาฬิกาหรูหลาย ๆ แบรนด์นั้นจะสูงขึ้นเฉลี่ยปีละ 4% - 10% เมื่อเทียบกับราคาซื้อ ซึ่งในจุดนี้ หลายคนอาจมองว่า การฝากเงินกับธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยสูงอาจเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ามากกว่า แต่ลองคิดอีกมุมหนึ่ง หากเทียบเป็นราคาย้อนหลัง 5 - 10 ปีขึ้นไปนั้นจะพบว่า นาฬิกาสามารถมีมูลค่าสูงขึ้นได้เกือบ 30% - 40% เลยทีเดียว และหากยิ่งเป็นแบรนด์หรู และเป็นรุ่นที่เป็นที่ต้องการในตลาด ราคาซื้อขายก็จะยิ่งก้าวกระโดดมากยิ่งขึ้น
- Rolex
- Patek Philippe
- Audemars Piguet
- OMEGA
- Parenai
- TAG Heuer
- แต่หากใครอยากจับตลาดที่เข้าถึงคนได้กว้างมากยิ่งขึ้น การหานาฬิกาหลุดจำนำแบรนด์กลาง ๆ อย่าง Seiko และ
Casio G-Shock รุ่นต่าง ๆ ก็เป็นอีกทางเลือกที่จะช่วยเพิ่มฐานลูกค้าได้มากขึ้น
กระเป๋าแบรนด์เนมถือเป็น #ของมันต้องมี ที่สาว ๆ หลายคนเทใจและยอมควักกระเป๋าเพื่อเป็นเจ้าของ ซึ่งนอกจากจะเป็นไอเท็มที่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้แล้ว กระเป๋าแบรนด์เนมยังเป็นอีกหนึ่งการลงทุนที่น่าจับตามอง มีราคาการซื้อขายที่ดุเดือด พุ่งแรงจนบางทีก็ตามไม่ทันทั้งมือหนึ่ง มือสอง รวมถึงกระเป๋าหลุดจำนำ และเผลอ ๆ หากมองในระยะยาวก็อาจสูงกว่าการเก็บเงินในธนาคารด้วยซ้ำ
หากใครคิดว่า นาฬิกามีแนวโน้มราคาที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว กระเป๋าแบรนด์เนมนั้นยิ่งมีราคาที่โตได้สูงกว่าหลายเท่าตัว และหากยิ่งเป็นรุ่นลิมิเต็ดหรือแรร์ไอเท็ม ราคาก็จะสามารถพุ่งสูงได้มากกว่า 70% เลยทีเดียว ลองยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ ด้วยกระเป๋า Hermès Birkin ที่ราคาขายในช็อปเมื่อก่อนนั้นจะตกอยู่ที่ใบละ 3 - 4 แสนบาท แต่ในขณะนี้ ราคากลับพุ่งไปสูงถึง 6 แสนจนถึง 1.5 ล้านบาทภายในเวลาไม่นาน และยิ่งหากเป็นรุ่นที่แรร์มากๆ เพราะมีการผลิตที่พิเศษ หรือเป็นรุ่นเก่าที่คนตามหามากแค่ไหน ราคากระเป๋าก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
การลงทุนในกระเป๋าแบรนด์นั้นจะต้องพิจารณาความพิเศษของแต่ละรุ่น รวมถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์ให้ดี เพราะหากเลือกรุ่นไม่ตรงใจตลาด หรือไม่เป็นที่ต้องการของนักสะสม ต่อให้แบรนด์จะดังมากแค่ไหน ก็มีโอกาสทำกำไรได้ไม่สูงมาก ที่สำคัญ อย่าลืมหาผู้เชี่ยวชาญมาการันตีของแท้ด้วย เพราะในตลาดก็มีของปลอมเองมากมาย โดยแบรนด์ที่น่าจับตามองในการลงทุนนี้จะประกอบไปด้วย
เพชร พลอย และเครื่องประดับจากหินมีค่าทั้งหลายนั้นถือเป็นสินค้ามือสองหลุดจำนำที่มีให้เห็นเป็นประจำ เพราะ นอกจากจะทำราคาได้ค่อนข้างดีแล้ว เครื่องประดับเหล่านี้มักมีราคาที่แน่นอน โดยพิจารณาได้จาก 4C’s ของเพชร คือ การเจียระไน สี/น้ำ น้ำหนักกะรัต ความสะอาด และสถาบันที่รับรองคุณภาพของเพชร เช่น GIA จึงทำให้ปล่อยต่อได้ง่าย และมีเงินสดมาหมุนเวียนสภาพคล่องได้แทบจะทันที
นอกเหนือจาก 4C’s ของเพชร และสถาบันที่รับรองแล้ว แบรนด์ที่ผลิตเครื่องประดับยังมีผลต่อราคาซื้อขายต่อในภายภาคหน้าอีกด้วย เช่น หากเลือกซื้อเพชรและเครื่องประดับจากแบรนด์ที่มีมานานและมีดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์อย่าง De Beers หรือ Tiffany and Co. ราคาในการขายต่อก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากคิดเทียบแล้ว เพชรและเครื่องประดับจากแบรนด์ดังจะอยู่ได้ถึง 5% - 20% เลยทีเดียว
หลายคนอาจมองว่า การซื้อเพชรอาจเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้ม เพราะอาจเคยได้ยินว่า การขายเพชรต่อนั้นจะทำให้ราคาตก แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากเลือกแบรนด์ของเครื่องประดับและเพชรให้ดี การขายต่อก็สามารถทำกำไรได้ไม่ยาก โดยแบรนด์ที่ควรค่าแก่การลงทุนนั้นประกอบไปด้วย
- Cartier
- De Beers
- Tiffany and Co.
- Foundrae
- BVLGARI
- Anita Ko
- Van Cleef & Arpels
- หรือหากใครอยากเริ่มต้นลงทุนในกลุ่มกลาง ๆ โดยใช้ต้นทุนไม่สูงมาก สามารถเลือกลงทุนกับเพชรหลุดจำนำ แหวนเพชรหลุดจำนำ
รวมถึงสร้อยและชาร์มจาก Pandora หรือ Swarovski ได้เช่นกัน
ไม่ว่าจะช่วงเวลาไหน ทองคำก็เป็นอีกหนึ่งการลงทุนที่ได้รับความนิยมสูงเป็นลำดับต้น ๆ เนื่องจากหลายคนมีความเชื่อว่า การซื้อทองนั้นเป็นการลงทุนระยะยาว และสามารถนำมาเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่ายกว่าทรัพย์สินแบบอื่น ๆ และยิ่งในสภาวะเศรษฐกิจคับขัน ราคาขายทองกับร้านทองและ ราคาจำนำทองกับโรงรับจำนำนั้นก็ให้ในอัตราที่สูงมากเช่นกัน อีกทั้งหากเศรษฐกิจเริ่มกลับมาดีขึ้นเมื่อไหร่ การเลือกซื้อทองหลุดจำนำตามลิสต์ของหลุดจำนำเองก็ยังช่วยให้กลับมาลงทุนทองได้ในราคาเริ่มต้นที่ไม่แพงอีกด้วย
ไม่ว่าจะลงทุนทองคำรูปแบบใด สิ่งที่ต้องพิจารณาให้ดี คือ เวลาในการติดตามราคา ติดตามข่าวเศรษฐกิจ และค่าเงินดอลลาร์อย่างใกล้ชิด เพราะทองคำนั้นมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงและผันผวนได้ง่าย และมีปัจจัยที่ทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงมากกว่ากว่าการลงทุนประเภทอื่น ๆ
จบลงไปแล้วกับ 4 อันดับของหลุดจำนำหรูที่สามารถนำมาใช้เอง และนำมาเก็บเพื่อเก็งกำไรขายต่อเป็นธุรกิจได้ จะเห็นได้ว่า หากเลือกสินค้าหลุดจำนำให้ดี และมีเทคนิคในการเลือกก็สามารถนำมาต่อยอดการลงทุนได้ไม่ยาก ซึ่งหากสนใจลงทุนในกลุ่มสินค้าหรู แต่ยังต้องการประหยัดต้นทุน และได้สินค้าหรูของแท้ที่มีคนช่วยตีราคา รวมถึงตรวจสอบความแท้ก่อนตัดสินใจซื้อ ทุกคนสามารถมาเลือกของแบรนด์เนมหลุดจำนำที่ผ่านการประเมินราคาและความแท้ได้ที่ Easy Money “เงินง่าย ได้ชัวร์” ได้ทุกเวลาทำการ หรือคลิกที่นี่